เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ ก.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ สัจธรรม เราแสวงหาสิ่งความเป็นจริง ชีวิตนี้เป็นความจริงไหม เป็นความจริง เพราะเราเกิดมาจริงๆ ไง แต่ว่าสัจธรรม สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดนี้เป็นสมมุติ จริงตามสมมุติ โลกนี้มีอยู่จริงนะ แต่จริงตามสมมุติ แต่ความสมมุตินี้เรายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นความจริงของเรา ถ้าเป็นความจริงของเรา เวลาทำบุญกุศลก็เป็นความจริงของเรา เวลาความทุกข์ความยากขึ้นมาก็เป็นความจริงของเรา ทำบุญกุศลขึ้นมานี้เพื่อบุญกุศล เพื่ออำนาจวาสนา เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข

ความร่มเย็นเป็นสุขของเรา ถ้าการฝึกฝน เรามีลูกมีหลานเราพามาวัดมาวา หรืออยู่บ้านเราฝึกฝนเขา ฝึกฝนเขาให้รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ ถ้ารู้จักประหยัดมัธยัสถ์ เขารู้จักเก็บรู้จักใช้สอยของเขา ความเป็นอยู่ของเขาเขาจะสะดวกสบายของเขา แต่ถ้าเขาฟุ่มเฟือยของเขา คำว่าฟุ่มเฟือย คุณภาพชีวิตๆ เราว่าคุณภาพชีวิตของเรา เราต้องตอบสนองความต้องการของเรา ความต้องการของเรานะ ความต้องการของเราตัณหาความทะยานอยากล้นฝั่ง มันไม่มีวันเต็มหรอก

ถ้าไม่มีวันเต็ม เราถ้ามีความประหยัดมัธยัสถ์ สิ่งที่ประหยัดมัธยัสถ์เรามีความเป็นสุขนะ ความเป็นสุขเพราะหัวใจมันไม่รั่ว คนเราเป็นทุกข์เป็นยากอยู่เพราะหัวใจรั่ว หัวใจรั่วทางการแพทย์ หัวใจรั่วนั้นเป็นการเจ็บไข้ได้ป่วย แต่หัวใจนามธรรม หัวใจคือจิตของเรา ถ้าจิตของเรามันรั่ว มันเคยตัวของมันไง ถ้าเราฝึกหัดของเราๆ ลูกหลานของเราฝึกหัดของเราไว้ รู้จักประหยัด รู้จักมัธยัสถ์ การแสวงหามาขนาดไหน เราใช้จ่ายพอประมาณของเรา

คำว่าพอประมาณของเรานะ สุขภาพของเราแข็งแรงด้วย จิตใจของเราเข้มแข็งด้วย แล้วถ้ามีสิ่งใดมากระทบหัวใจมันยิ้มแย้มแจ่มใส มันยิ้มแย้มแจ่มใสเพราะ เพราะว่าชีวิตการเวียนว่ายตายเกิดเป็นสมมุติ มันเป็นสมมุติไง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา เราท่องกันปากเปียกปากแฉะนะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเข้าใจ เรารู้ได้ เป็นภาคปริยัติ ปริยัติการศึกษา ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ศึกษามาแบกหามไว้ แบกหามไว้เป็นความลำบากของเรา เดี๋ยวก็ทบทวน เดี๋ยวก็ทบทวน

เวลาพูดถึงธรรมะๆ เราคุยธรรมะกันเป็นการสื่อสาร สื่อสารเพื่อความเข้าใจ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงนะจิตใจมันไม่มีเหตุมีผล กิเลสมันไม่มีเหตุมีผล กิเลสบนหัวใจของเรามันไม่มีเหตุมีผล มันกระฟัดกระเฟียดในหัวใจเราตลอดเวลา ฟังธรรมๆ เพราะเหตุนี้ ฟังธรรมเพราะอะไร ฟังธรรมเพราะว่ากิเลสมันกลัวธรรมไง กิเลสมันกลัวศีล สมาธิ ปัญญา มันกลัวมาก เพราะถ้ามันมีศีล มันขีดวงไว้ จิตใจจะคิดตามแต่ความต้องการของตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าคิดสิ่งใดมันมีถูกมีผิดมาคอยเตือนตัวเอง

ถ้ามีศีล ถ้ามีสมาธิขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีสมาธิขึ้นมามันไปกดกิเลสให้สงบตัวลง กิเลสตัณหาความทะยานอยาก ดูเด็กสิ เด็กเวลาปล่อยมันเล่นตามสบายมันพอใจของมัน บอกให้มันนั่งอยู่โดยที่เราควบคุมมัน มันจะอึดอัดทันทีเลย แต่จิตใจของเราที่มันฟุ้งซ่านของมันโดยธรรมชาติของมัน โดยธรรมชาติของมัน คนธาตุไฟ ธาตุไฟคนมีความคิดเยอะ คนธาตุดิน คนธาตุน้ำ คนธาตุลม มันอยู่ที่ธาตุ ความเข้ากันโดยธาตุ คนเข้ากันโดยธาตุคือมันชอบไง ลูกศิษย์พระสารีบุตรเป็นผู้ที่มีปัญญาทั้งหมด ลูกศิษย์ของพระโมคคัลลานะมีฤทธิ์ทั้งหมด ลูกศิษย์ของเทวทัตลามกทั้งนั้นเลย มันเข้ากันโดยธาตุมันชอบ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเข้ากันโดยธาตุ ถ้าธาตุไฟมันคิดเยอะ คิดเยอะเราก็ต้องมีสติปัญญารักษาความคิดของเรา เพราะความคิดอย่างนี้เวลาคิดงานมันได้ประโยชน์ คนคิดเยอะเวลาคิดงานมันจะได้งานของเรา ทำงานมันจะเป็นผู้บริหาร ถ้าคนคิดน้อย คิดน้อยเอาตัวรอดไม่ได้ แต่เวลาความคิดมันคิดเยอะจะทำอย่างไรให้มันเป็นสัมมาทิฏฐิให้ความเห็นถูกต้องดีงาม ความเห็นถูกต้องดีงามของเราทางโลก ทางโลกเกิดมาเครื่องหมายของคนดี ความกตัญญูกตเวที ความรู้คุณคน มีน้ำใจต่อกัน สังคมจะมีความร่มเย็นเป็นสุขเพราะเรามีน้ำใจต่อกัน

ดูสิเวลาลูก มีเท่าไรเราควักให้มันไปได้หมดเลย สังคมถ้าเราเห็นว่ามันเป็นธรรม มันเป็นธรรมคือว่ามันขาดแคลนโดยความเป็นจริงเราจะช่วยเหลือเจือจานใคร เรามีปัญญาของเรา ถ้าเรามีปัญญาของเรา เราเสียสละของเราเพื่อสังคม เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข ไอ้นี่คือการสร้างบารมี เวลาดูพระเวสสันดรสิ ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านเสียสละของท่านๆ เวลาท่านมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาบอกว่าเพราะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคนก็มาทำบุญกุศล มาทำทานกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่ใช่เราทำมาทั้งนั้นแหละ ท่านทำของท่านมาเอง ท่านเสียสละของท่านมา

นี่ก็เหมือนกัน เราเสียสละของเราไป มันเป็นของใคร เป็นของเราทั้งนั้นแหละ สิ่งที่เขาได้ไปเขาได้วัตถุธาตุไป แต่เราได้เราได้บุญกุศล เราได้ปัญญา เราได้บารมีธรรม สิ่งที่เราสละไปเราได้ทั้งนั้นแหละ เราได้ๆๆ เราได้เพราะเรามีสติปัญญา แต่ถ้าเราไม่มีสติปัญญาเราเสียๆ เราเสียเพราะเราไม่ได้สิ่งใดเป็นประโยชน์กับเราเลย ถ้าเราได้ขึ้นมาเราสร้างบุญกุศลขึ้นมาแบบนี้

นี่พูดถึงว่าปัญญาทางโลก แล้วปัญญาทางโลกชีวิตนี้เป็นสมมุติๆ สมมุติจริงหรือ สมมุติจริงหรือ ถ้าสมมุติมันไม่จริงเราก็สั่งได้สิ ทุกคนปรารถนาเป็นคนดี ทุกคนมีเป้าหมายทั้งนั้นแหละ แล้วมันถึงเป้าหมายเราไหมล่ะ เราสั่งไม่ได้ เราสั่งสิ่งนั้นไม่ได้ สั่งสิ่งนั้นไม่ได้เพราะว่ากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมมันจำแนกสัตว์ให้มันเกิดต่างๆ กัน กรรมจำแนกเป็นพันธุกรรมของใจ ให้ความรู้สึกนึกคิดของเรามันชอบมันปรารถนาอย่างนี้ สิ่งใดที่มันถูกใจมันชอบทั้งนั้นเลย แต่สิ่งใดที่ไม่ถูกใจมันต่อต้านทั้งนั้นเลย

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ทีนี้ความที่ว่าความพอใจของคนมันก็ไม่เหมือนกัน ฉะนั้น พอไม่เหมือนกัน จริตนิสัยของคน จริตนิสัยของคน ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา กิเลสกลัวอย่างเดียวกลัวศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีล ๕ โลกเขาโต้แย้งกันมากเลย ขอถือศีล ๔ บางคนขอถือศีล ๓ ศีล ๒ ว่ากันไปนะ ไอ้อย่างนี้มันเป็นกระแสสังคม เป็นการเสียดสี เสียดสีโดยกิเลส กิเลสมันต้องการ กิเลสมันจะปกป้องตัวมันเองไง

แต่ถ้าเราซื่อสัตย์ ดูสิคนที่ยังไม่เคยเข้าวัดเข้าวาเขาก็สงสัยว่าคนไปวัดไปทำไม แต่เวลาเขาศึกษาขึ้นมาแล้วเขาซาบซึ้งขึ้นมานะ เขาซาบซึ้งขึ้นมา เขาไปของเขาเองนะ พอไปของเขาเองเขาแสวงหาของเขา ถ้าเขามีสติ เขาทำความสงบของใจของเขาได้เขาจะเห็นคุณค่าของเขา ที่ว่าเป็นสมมุติๆ สมมุติเป็นอย่างนี้เองหรือ สิ่งที่เราอยู่กับโลก ความคิดที่มันยึดมั่นถือมั่น สรรพสิ่งเป็นของเราทั้งหมด เราเป็นคนที่มีอำนาจวาสนา เราเป็นคนที่มีปัญญาทั้งนั้น ทิฐิมานะในหัวใจจรดฟ้า พอเข้าไปวัดไปวา ไปศึกษาขึ้นมาโอ้โฮมันสลดหดหู่

ความสลดหดหู่นั้นเป็นธรรมสังเวช มันสังเวชถึงความคิดไง สังเวชถึงความคิดของโลกๆ ที่เราเคยคิดอย่างนั้นมันสังเวช พอเข้ามามันมีสติปัญญาเท่าทันหัวใจของตัว สิ่งที่เขาไปวัดกันทำไม ไปวัดทำไม ผู้ที่มีหัวใจคิดแบบนี้เขาจะไปของเขาเอง ไปวัดไปทำไม ไปวัดก็ไปวัดหัวใจของตัว ไปวัดก็ไปค้นคว้าอริยทรัพย์ ไปค้นคว้าอัตตสมบัติในใจ ในใจที่มันทุกข์มันยาก เราแสวงหาทรัพย์สมบัติขึ้นมาเพื่อความสุข เพื่อบุญกุศล เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของเราขนาดไหน มันทำไมมีแต่ฟืนแต่ไฟ มันทำไมเร่าร้อนขนาดนี้

เวลาเข้าวัดเข้าวาขึ้นมาเราปล่อยวางๆ ปล่อยวางอะไร ปล่อยวางอารมณ์ความรู้สึก ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นอันนั้น ทำไมจิตใจมันเบาขึ้นมาล่ะ ทำไมจิตใจมีคุณค่าขึ้นมาล่ะ อ๋อ มันไม่ต้องการสิ่งที่เราเคยคิดเลย สิ่งที่เราเคยคิดเคยแสวงหา คิดว่าสิ่งนั้นจะเป็นของเราๆ มันไม่ต้องการสิ่งนั้นเลย มันต้องการสติ มันต้องการสมาธิ มันต้องการปัญญา

ปัญญารู้เท่าความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง สิ่งที่มันมีอำนาจเหนือเรา เพราะอะไร เพราะตัณหาความทะยานอยากเราเสริมด้วยฟืนด้วยไฟขึ้นไป มันไม่มีอำนาจเหนือหัวใจของเรา แต่พอเราเท่าทันขึ้นมาแล้ว เราถอดฟืนถอดไฟไปแล้ว ความคิดมันก็เป็นความคิดอย่างเดิมนั่นล่ะ ความรู้สึกก็เป็นความรู้สึกอย่างเดิมนั่นล่ะ ทำไมมันมีความสุขล่ะ ทำไมมันเข้าใจ อ๋อ มันมีค่าขึ้นมา มันมีค่าขึ้นมานะเราปะผุหัวใจของเราแล้วล่ะ ถ้าเราปะผุหัวใจของเรา เราจะดูแลหัวใจของเราแล้วล่ะ ถ้าเราปะผุหัวใจของเราขึ้นมา ปะผุขึ้นมาด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ปะผุขึ้นมา เราแสวงหาของเรา

สิ่งที่มีค่าๆ ใจมันไม่รั่วๆ ใจไม่รั่วเพราะเหตุใดล่ะ ใจไม่รั่วเพราะเราฝึกหัดเราค้นคว้าของเรา สิ่งที่ว่าเกิดในโลกนี้ เวียนว่ายตายเกิดเป็นสมมุติๆ เวลาจิตมันสงบแล้วมันก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง แต่ แต่มันเป็นธรรม เวลาเป็นโลกกับเป็นธรรม เป็นโลกเป็นสัญชาตญาณ เวลาเป็นธรรม เป็นธรรมเพราะอะไร เป็นธรรมเพราะมันมีสติ เป็นธรรมเพราะเราเป็นคนกระทำ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก

สิ่งที่เราไปแสวงหาเป็นวัตถุธาตุ เราแสวงหามันต้องมีวัตถุนั้นเราถึงแสวงหาได้ใช่ไหม ถ้าวัตถุธาตุสิ่งนั้นไม่มีอยู่เราก็แสวงหาไม่ได้ใช่ไหม หัวใจของคนมันมีอยู่ไง ความรู้สึกนึกคิดมันมีอยู่ไง ถ้าความรู้สึกนึกคิดมันมีอยู่ แต่เราไม่เคยแสวงหามัน เราไม่เคยดูแลมันเลยไง เราแสวงหาแต่วัตถุธาตุ เอานามธรรมของเราไปแสวงหาวัตถุธาตุมาเพื่อความมั่นคงของชีวิต เพื่อคุณภาพชีวิตไง

คุณภาพชีวิตอย่างนั้นมันก็เป็นเฉพาะเลี้ยงร่างกายนี้ไง เวลาเด็กไม่มีใครดูแลมันเขาก็ไปให้ที่สถานสงเคราะห์ คนเฒ่าคนแก่ไม่มีคนดูแลเขาก็ไปบ้านคนชรา เขาสงเคราะห์กันได้ โลกเขาสงเคราะห์กันได้ แต่หัวใจใครสงเคราะห์ใครล่ะ หัวใจสิ่งที่ว่าเป็นนามธรรม สิ่งที่เราแสวงหา ถ้ามันมาวัดมาวามาศึกษามาค้นคว้า พอมาพบเข้ามาเจอเข้า นี่ไงหัวใจของเราไง เกิดจากการประหยัดมัธยัสถ์ เกิดจากสติปัญญา สติปัญญาเราสั่งสอน เราดูแลของเราให้มีสติปัญญา

เราจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนเราก็ใช้ปัจจัย ๔ นี้แหละ แล้วถ้ามันคนมีสติปัญญา มันใช้สอยโดยที่ไม่ทุกข์ไม่ยากเลย ใช้สอยด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส ใช้สอยเพราะเรารู้ แล้วสิ่งที่เหลือๆ สิ่งที่เหลือก็ชาติตระกูลของเราไง ถ้ามันเหลือจากชาติตระกูลของเราก็นี่ไง สังคมไง สังคมมันก็ย้อนกลับมาที่อำนาจวาสนาบารมีในหัวใจนั้นไง ถ้าหัวใจมันมีอำนาจวาสนาบารมีขึ้นมา มันเกิดพันธุกรรมของจิต เข้ากันโดยธาตุๆ ไง

ถ้าจะเข้ากันโดยธาตุก็เกิดเป็นลูกศิษย์พระสารีบุตรเถอะ เพราะพระสารีบุตรมีปัญญา ถ้าพระโมคคัลลานะก็ยังดีมีฤทธิ์มีเดช ถ้าเป็นลูกศิษย์ของเทวทัตมันลามกหมดเลย ลามกจกเปรต อยู่ในหัวใจเราความคิดอย่างนี้ แล้วความคิดอย่างนี้มันเข้ากันโดยธาตุ ธาตุเป็นอย่างนั้น แต่เวลาเราจะค้นคว้าของเราเราคัดเลือกไม่ได้ เพราะ เพราะปฏิสนธิจิตเราเกิดมาเป็นเรา คือของๆ เรา กรรมไง เราทำของเรามาไง

ถ้าเราทำของเรามาเราจะคิดแต่เรื่องดีๆ ถ้าเราทำของเรามามันมีแต่เรื่องเลวร้ายในหัวใจของเรา ถ้าเรื่องเลวร้าย เลวร้ายนี้มันเป็นความรู้สึกนึกคิดของคนใช่ไหม ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นอริยสัจ เป็นสัจจะ เป็นความจริงใช่ไหม จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ เราก็ใช้ศีลควบคุมไง ศีลควบคุม อ้าว ถ้าศีลควบคุมแล้วมันอึดอัดไปหมด ศีลควบคุมทำอะไรไม่ได้เลย ศีล

อ้าว ศีลมันเป็นอริยสัจ ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นสัจจะ เป็นความจริง จิตนี้มันกลั่นออกมาจากอริยสัจ ถ้ามันจะกลั่นจากอริยสัจ มันจะจริตนิสัยอย่างไรก็แล้วแต่ มันจะตกทุกข์ได้ยากมาก็แล้วแต่ จิตใจของคนจะเหลวไหลขนาดไหนก็แล้วแต่ แต่ถ้าจะพัฒนาขึ้นมามันก็ต้องเข้าสู่มรรค ถ้าไม่เข้าสู่มรรคจะไปไหน ถ้าไม่เข้าสู่มรรคก็เข้าสู่กิเลสไง ที่ว่ากิเลสที่มันเหยียบย่ำกันอยู่นี่ไง แล้วก็บอกเป็นธรรมะๆ ธรรมะของเรา ด้วยจินตนาการของเรากันไง แต่มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาแม้แต่เล็กน้อยเลย

ถ้าจะไม่เล็กน้อยขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญามันเป็นอย่างไร ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา ศีลในข้อห้าม ๕ ข้อห้าม ๘ ข้อห้าม ๑๐ มันก็เป็นข้อห้ามเท่านั้น แต่ถ้าจิตมันปกติล่ะ จิตที่มันไม่ได้ทำล่ะ เราขาดเจตนา เราไม่ได้ทำสิ่งใดเลย เราทำหน้าที่การงานของเรา ทำผิดพลาดไปๆ มันก็เป็นเรื่องธรรมดา เรื่องธรรมดาเราไม่ตีโพยตีพาย เราไม่เอาสิ่งนี้มาปิดกั้นคุณงามความดีของเรา แล้วเราทำของเราขึ้นไป ศีล สมาธิ ปัญญาถ้ามันเกิดขึ้นมา ในหัวใจขึ้นมา ถ้ามันเกิดขึ้นมามันเป็นความจริง

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ดูสิสิ่งที่วัตถุธาตุที่เราแสวงหา ของมันมีอยู่เราถึงแสวงหาได้ จิตใจของคนมันมีอยู่ แต่คนไม่เคยสนใจมัน คนไม่เคยค้นคว้ามัน แล้วค้นคว้ามันก็ค้นคว้าโดยอภิญญา ค้นคว้าโดยทางโลก ค้นคว้าโดยไม่เป็นความจริง สัมมาสมาธิ พุทโธ พุทโธจิตสงบเข้ามามันของแท้ ของแท้ดูสิปฏิสนธิจิต จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส เวลามันเกิดในครรภ์ ในไข่ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะมันเกิดอย่างไร

เวลามันเกิด เดี๋ยวนี้เขาทำกิฟต์ๆ กันมันเกิดอย่างไร แล้วจิตมันเกิดอย่างไร แล้วมันเวียนว่ายตายเกิดอย่างไร แล้วเวลาเป็นเราอยู่นี่ มันเต็มตัวอยู่นี่ มันนั่งอยู่เต็มตัวทั้งกายกับใจ ของเราแท้ๆ เราศึกษาๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาตามตำรับครูบาอาจารย์ ศึกษามา ศึกษาไว้เป็นแนวทาง ศึกษามาเพื่อมาเทียบเคียงว่าชอบไหม ถูกใจไหม ทำได้ไหม ถ้าทำไม่ได้เปลี่ยน เปลี่ยนครูบาอาจารย์ เพราะจริตนิสัยของคนมหาศาล เพราะครูบาอาจารย์ก็แตกต่างกันมาอย่างนั้น จะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ละสันดานได้

โดยกิริยาพุทธวิสัย กิริยาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่พระสารีบุตรลงมา พระโมคคัลลานะตามแต่จริตนิสัยได้ชำระล้างกิเลสไป แต่อำนาจวาสนาเป็นแบบนั้น เราถึงเลือกเอาไง ถูกต้องไหม ศึกษาแล้วเข้าใจไหม ศึกษาแล้ว ฟังธรรมของท่านแล้วมันลงใจไหม ถ้ามันลงใจมันจะเป็นประโยชน์กับเราไง ถ้ามันไม่ลงใจ ไม่ลงใจเราก็ศึกษา เราก็หาของเราใหม่ หาที่มันลงใจนั่นล่ะ ถ้าลงใจแล้วทำขึ้นมาให้มันเป็นความจริง

ถ้าเป็นความจริงไม่ได้ สิ่งที่ไม่ลงใจเราก็เทียบเคียงเอา เทียบเคียงกับสิ่งที่มันลงใจ ไอ้ที่มันลงใจมันมีเหตุมีผลไหม กาลามสูตรอย่าให้เชื่อว่าอาจารย์เรา อย่าให้เชื่อว่าทำแล้วอนุมานว่าเป็นได้ แต่เอาความจริงๆ เพราะเราแสวงหาความจริงใช่ไหม เราแสวงหาความจริงเราหาหัวใจของเราใช่ไหม เราต้องการความจริงใช่ไหม แล้วความจริง หัวใจมันเป็นความจริงอยู่แล้ว แต่อริยสัจ ถ้ามันไม่เป็นอริยสัจมันก็กรองกันไม่ได้ มันก็เป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้

จิตนี้ไม่ได้กลั่นออกมาจากอริยสัจ จิตนี้กลั่นออกมาจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก จิตนี้กลั่นออกมาจากการยกย่องสรรเสริญ การเชิดชู มันจะมีคุณธรรมตรงไหน เวลามีคุณธรรมขึ้นมามันกลั่นออกมาจากอริยสัจ ถ้ากลั่นออกมาจากอริยสัจ ความจริงเป็นความจริง ความจริงมีหนึ่งเดียว ความจริงไม่มีสอง จะทำแนวทางไหน จะปฏิบัติมาอย่างไร ความจริงก็คือความจริงนั่นแหละ

ฉะนั้น อริยสัจ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ถ้าอริยสัจกับอริยสัจเจอกันมันก็จบ ถ้าอริยสัจกับจินตนาการ กับความเห็นของโลก กับตัณหาความทะยานอยากเจอกัน เจอกัน สิ่งที่สูงกว่าท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านเก็บไว้ในใจของท่าน ความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าเห็นถึงความเป็นไปของใจ เห็นถึงการกลั่นออกมา ใจนั้นกลั่นออกมาจากอริยสัจนั้น ได้ขวนขวาย ได้กระทำมาขนาดไหน มันมีลึกลับซับซ้อน แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ

ความลึกลับซับซ้อน ดูสิในเมื่อใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมมาเป็นพระโพธิสัตว์จะต้องมีพุทธวิสัย พุทธวิสัยคือปัญญาเลิศล้นกว่าพวกเราหลายร้อยเท่านัก ท่านยังบอกว่าจะสอนได้อย่างไรหนอ มันละเอียดขนาดนั้น แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาจนมีคุณธรรมในหัวใจ เวลาจะพูดกับเราท่านรู้อยู่แล้วว่าเราเข้าใจไม่ได้หรอก แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านพยายามพูดเป็นแนวทางไว้ เป็นแนวทางไว้ แล้วเราพยายามให้ขวนขวาย ถ้าเราไปประสบ เราไปพบเข้า

หลวงตาเวลาท่านบรรลุธรรม ท่านกราบแล้วกราบเล่าทั้งกับน้ำตานองหน้า อันนั้นเพราะอะไร อันนั้นมันเพราอะไร มันซาบซึ้งขนาดนั้น มันเห็นคุณค่าขนาดนั้น ท่านกราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่าพร้อมกับน้ำตาไหลพราก สิ่งที่มันกังวานกลางหัวใจนั้น เราปะผุหัวใจของเราอย่าให้ใจรั่ว ด้วยความประหยัดมัธยัสถ์ ด้วยความดูแลหัวใจของเรา แล้วถ้ามีโอกาสขอให้ได้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกให้นึกโธ

จิตใจที่มันนึกพุท นึกโธนั้นมันจะมีพุทธานุสติ ทั้งๆ ที่หายใจอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่มีสติปัญญากำหนดเลย ถ้าเรามีสติปัญญากำหนด ใครเป็นคนกำหนด เพราะจิตเป็นคนกำหนด แล้วมันจะย้อนกลับไปสู่จิต ถ้าจิตมันได้กระทำ จิตมันได้มีการกระทำ มีการเคลื่อนไหว แล้วถ้ามันสงบลงได้เราจะค้นคว้าหัวใจของเรา เอวัง